top of page

—Sirius—

ซิริอุส

นิทานหลอกเด็ก

.

.

.

      คืนหนาวเหน็บ สายลมราตรีไร้ปรานี ลมหายใจกลายเป็นไอ หมอกบดบังทัศนวิสัยสิ้น จันทราครึ่งเสี้ยวมิอาจสำแดงพลังของเทพีไดอานาได้เต็มที่ หากยังดื้อดึงมิยอมหลับใหลจักถูกลักพาหายไปในป่าต้องสาป

      หญิงชรากล่าวจบ แลมิวายทำท่าจะเข้าไปจับหลานๆ พวกเขาวิ่งหนีพากันขึ้นเตียง เมื่อเป็นไปตามที่นางต้องการ นางเข้าไปลูบหัว หอมที่กระหม่อม กล่าวฝันดีและอวยพรขอให้องค์เทพคุ้มครองเด็กดี ก่อนดับไฟในตะเกียงลง เมื่อเสียงหายใจของเด็กๆ ค่อยๆ ปรับมาสม่ำเสมอ ชายหนุ่มซึ่งเป็นพ่อจึงกล่าวขอบคุณมารดาของตนที่ช่วย คุยกับภรรยาเล็กน้อยให้ช่วยดูแลนางต่อ ส่วนตัวเขานั้นจะไปหาบิดา

✦✦✦

      กาลครั้งหนึ่งเมื่อมนุษย์ยังคงขอพร เหล่าเทวายังคงดำรง ณ โอลิมปัส และปอมเปอียังคงเป็นนครแห่งความมั่งคั่งมิใช่เศษซากใต้ความพิโรธของวิสุเวียส  มีเรื่องเล่าตำนานเมือง รึไม่ใช่? ไม่มีใครทราบ ถูกนำมาใช้ไล่ให้พวกตัวเล็กเข้าสู่นิทรา เรื่องเล่าที่ถูกฝังกลบหายไปพร้อมกัน

✦✦✦

      คืนหนึ่งในหน้าหนาว จันทราลอยเด่นสง่าค้ำฟ้าแม้เพียงครึ่งเดียว ลมเย็นในยามกลางคืนพัดโชยเหมือนกำลังไล่ให้กลับไป สองขาของชายหนุ่มยังคงก้าวต่อไปแม้ลมหายใจกลายเป็นไอ ถึงกระนั้นนอกจากเขายังมีคนอีกมากมายหวังพึ่งพิงความอบอุ่นจากน้ำเมา รวมถึงบิดาของตนด้วย

 

      ยามเมื่อไปถึงชายชราก็เรียกลูกชายของตนมานั่งด้วยกัน น้ำเมาถูกนำมาตั้งตรงหน้าโดยพลัน ดื่มก่อนเถิดลูกข้า เจ้าคงทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยและหนาวเย็นในระหว่างทางที่มา เขากล่าวขอบคุณบิดาไม่รอช้าที่จะยกแก้วขึ้นดื่ม

 

      แม้ตกดึกแต่เสียงเซ็งแซ่ของผู้คนในร้านยังคงคึกคัก บ้างก็เล่นดนตรี บ้างก็เล่นเกมพนัน ทุกอย่างทำให้คืนนี้อบอุ่นไม่ต่างจากกลางวันนัก เขาซึมซับบรรยากาศนี้ร่วมกับบิดา แต่เขามีบางอย่างติดค้างในใจ จึงได้กล่าวถาม

      “บิดาข้า หากไม่เป็นการขัดอันใด ข้ามีเรื่องสงสัยที่ท่านอาจให้คำตอบได้”

      ชายชราค่อย ๆ วางแก้วลง “ตามที่เจ้าต้องการว่าอย่างไรลูกข้า”

      ชายหนุ่มสูดหายใจ “ท่านจำเรื่องเล่าที่ท่านเคยเล่าให้ข้าฟังครั้งยังเยาว์ได้หรือไม่ ว่าด้วยราตรีหนาวเย็น จันทร์ครึ่งเสี้ยว ไอหมอก และป่าต้องสาป ข้าอยากฟังที่มาของเรื่องนี้”

 

ทุกคนเงียบ ส่วนพวกขี้เมานั้นเป็นข้อยกเว้น

 

      ชายชรามีท่าทีกระอักกระอ่วน ไอเล็กน้อยดึงสติให้กับคนอื่นๆ ในร้าน เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสบตาบุตรของตนแล้วเริ่มพูด

      “มันเป็นเรื่องเมื่อราวยี่สิบปีก่อน...เกี่ยวกับพวกนอกรีตที่เข้ามาทำร้ายขุนนางที่กำลังสมสู่อยู่กับโสเภณี”

 

      ชายหนุ่มแสดงสีหน้าฉงน ชายชรากล่าวต่อ

      “เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่...ดอกแอปเปิลผลิบาน หัวหมาป่าจ้องจะกินจันทร์ครึ่งเสี้ยว ในคืนที่อากาศเป็นดั่งเช่นวันนี้ เรายังคงใช้ชีวิตปกติเฉกเช่นทุกวัน มันเกิดขึ้นโดยเราไม่รู้ตัว

 

      “เมื่อเมฆาบดบังแสงของจันทราทุกอย่างพลันวุ่นวาย วันนั้นที่วิลลาเกิดเสียงดังอย่างมาก เสียงตะโกนก้องของทหารยาม เสียงกรีดร้องของสตรี ด้วยความอยากรู้อยากเห็นมีผู้คนมากมายมาออกันหน้าวิลลา

 

      “ภาพที่เราเห็นคือชายคนหนึ่งสวมโทก้าของชนชั้นสูงและปิดบังใบหน้าด้วยเครื่องประดับเงิน เออ บางทีอาจเป็นพวกนอกรีตสติไม่ดีสักคน มันถูกทหารจับระหว่างหลบหนี กดไว้กับพื้นด้วยหอก เออ แม้ข้าจะเห็นไม่ชัดแต่ข้ามั่นใจว่าหัวของมันถูกล็อกไว้ด้วยหอกจริงๆ ตัวของมันราบไปกับพื้น เหมือนว่าขุนนางจะถูกทำร้ายไปแล้วแต่ไม่ร้ายแรงมาก

 

      “แล้วฝ่ายสตรี...ข้าจำไม่ผิด...นางเป็นโสเภณีแน่ๆ ข้าเคยเจอนางที่ลูปานาร์ นางช่วยพยุงขุนนางมา ข้าจำไม่ได้มากนักว่าขุนนางนั้นพูดอย่างไรบ้างส่วนมากเป็นคำดูถูก เขาพูดอยู่นานมาก จนเมื่อดวงจันทร์กลับมาปรากฏ ข้ามั่นใจว่ามันถูกล็อกเอาไว้จริง ๆ โดยทหารตัวล่ำ แต่สิ่งที่จันทราส่องให้เห็นคือ มันยืนสง่าอยู่ใต้แสงจันทรา พร้อมด้วยคทาสีทอง...รูปร่างประหลาดนัก...ทหารที่ควรล็อกมันไว้กลับลงไปนอนบนพื้น

 

      “มันพูดอะไรบางอย่าง บางทีอาจกำลังสาปแช่งพวกเราอยู่ แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ เมื่อทหารพยายามจะจับมันอีกครั้ง กลับเกิดพายุขนาดย่อมขึ้น มันซัดทหารทั้งหลายกระเด็นออกไป ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้มันได้อีก มันกวาดคทาไปทั่วลาน จากนั้น....”

      “หมอกก็ออกมาจากหว่างขาข้า!”

      “หุบปากเจ้าโง่!”

      เสียงของชายร่างผอมลุกขึ้น เขาทำท่าทางข่มขู่ชายร่างอ้วนที่ตะเบ็งเสียงขัดการเล่า ชายร่างผอมหันหัวมาทางต้นบทสนทนา

      “ไม่รู้เหตุใดหมอกจึงลอยออกมาจากใต้เท้าของเราได้ มันเริ่มจากวงที่อยู่นอกสุด ค่อยๆ คืบคลานเข้ามารวมตัวที่ไอนอกรีตนั้น ข้าจำความรู้สึกตอนนั้นดี ตอนหมอกเคลื่อนที่ผ่านข้า...มันหนาวเย็นจนข้าแทบฉี่ราด เลื้อยไปราวกับงู ไม่นานหมอกก็กลืนกินมันแล้วหายตัวไป เป็นเหตุการณ์ทำเราขวัญกระเจิงอย่างมาก ทหารมากมายได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก บ้างก็ว่าล้มตาย”

 

      ชายผอมซูบกล่าวจบพร้อมกับดวงตาที่จ้องไปหาทีละคนเหมือนอยากถลนมันออกมาให้ได้

      “ตอนที่หมอกผ่านข้าไป ข้าได้ยินเสียงภรรยาที่จากไปแล้ว” เจ้าของร้านเอ่ยเสียงแผ่ว

      “ส่วนข้าได้ยินเสียงลูกชาย...แต่วันนั้นเขาอยู่ชายแดน” ชายขี้เมาที่ล้มลงไปกับพื้นยกหัวขึ้นกล่าวเสริม

      “ไม่ๆ พวกเจ้าคงหลอนกันไปเองเป็นแน่แท้ ข้าจำได้แม่นว่าพวกเจ้าดวลเหล้ากัน” ชายอีกคนกล่าวปัด

      “แล้วเจ้าได้ไปที่ลานรึไม่ ข้าเองก็จำได้เช่นกันว่าเจ้าก็ดวลกับเรา เจ้าแพ้แล้วนอนร้องเป็นไอ้ลูกหมาที่ร้านข้า!”

      ชู่ว

     

      ทั้งร้านเงียบกริบ แต่ไม่ใช่เพราะเสียงเป่าให้เงียบของชายชรา แต่เป็นเสียงหวีดของลมภายนอกร้านที่ดังขึ้นพร้อมกัน ฟังได้ชัดเจน ทุกคนมองออกไปยังทางเข้า ชายผ้าบังหน้าร้านเลิกขึ้น สายลมอ่อนพัดเข้ามาภายใน เปลวไฟของคบเพลิงและตะเกียงวูบไหว บางคนถึงกับกลั้นหายใจ คนเมาถึงกับหยุดสะอึก เป็นเช่นนี้อยู่หลายนาที ทั้งที่ไม่มีอะไรเลยแท้ๆ

 

      ชายหนุ่มอึดอัดกับบรรยากาศเช่นนี้เหลือคณาและเขาได้ตัดสินใจที่จะพูด

 

      “แล้วหลังจากนั้นเป็นอย่างไรต่อหรือ เหตุการณ์วุ่นวายสร้างความหวาดกลัวเช่นนี้...ขุนนางคงไม่ยอมอยู่เฉยเป็นแน่”

      ทุกคนในร้านหันมามองเป็นตาเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง บิดากำลังจะเอ่ยปาก ก็มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งชิงตัดหน้า

      “ข้าได้ยินมาจากญาติว่ามันถูกตัดหัว" ทุกคนหันหน้าไปหาเด็กหนุ่ม "ขะ ข้าขออภัย แต่กล่าวคือ...หลังจากวันนั้นขุนนางรีบรุดกลับไปยังเมืองหลวง และเหมือนมันจะตามไปด้วย แต่ขุนนางนั้นชาญฉลาดจับมันได้ แล้วสำเร็จโทษด้วยตนเอง!”

      “งั้นเจ้าคงต้องตอบคำถามว่าเหตุใดป่าหมอกจึงยังอยู่” เสียงสากคอของชายขี้เมากล่าว “มันยังอยู่ หลบซ่อนอยู่ในนั้น ในป้อมร้างภายในป่าลึก ขุนนางมันแค่ไม่อยากถูกหยามว่าขี้ขลาดจึงสร้างแพะขึ้นมารับกรรม”

      “อาจเป็นคำสาปที่มันทิ้งไว้ก็ได้ ต้องให้นักบวชแห่งวิหารไปคลาย” เด็กหนุ่มพยายามเถียง

      “แล้วนักบวชจะเอาไปทำอะไร บริเวณนั้นมีแค่ป้อมร้างเน่าๆ ที่รอวันทลายลงมากับต้นแอปเปิลป่า ก่อนหน้านั้นก็เคยเป็นรังโจร บางทีถ้าพวกมันถูกขังไว้เช่นนั้นดีแล้ว” ชายอีกคนพูด

      “มันอาจกำลังบูชาอสูรไทฟอนอยู่ก็เป็นได้ ดูสิ่งที่มันทำได้สิ! ที่มันหายไปเก็บตัวเงียบเพราะต้องทำพิธีอย่างยาวนานเพื่อให้ไทฟอนออกมา” เป็นชายร่างอ้วนอีกครั้งที่ตะเบ็งเสียง ทุบโต๊ะ 

      “เจ้าน่ะเงียบไปเลย ทั้งเมา ทั้งหลอน พูดจาเพ้อเจ้อ! ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงองค์เทพจูปิเตอร์ไม่อยู่เฉยแน่” และเป็นชายร่างผอม อีกครั้งที่เขาพูดถากถางเพื่อระงับความคิดอันบรรเจิดของชายร่างอ้วน

      ผู้คนในร้านต่างถกเถียงกัน ส่วนชายหนุ่มฟังเรื่องราวพลางพิจารณาตามล้วนเต็มไปด้วยคำถามมากมาย “แล้วถ้าเป็นดังที่กล่าวมา มันทำไปเพื่ออะไรกัน” ชายหนุ่มเอ่ยถามบิดาอีกครา

      “ไม่มีใครทราบเรื่องนี้ลูกข้า มีแค่เพียงคำถกเถียงของชาวบ้าน มีเท่านี้”

 

      ชายชรายกแก้วขึ้นดื่มหลังจากการพูดที่ยาวนาน

 

      “อาจเพราะเขาเป็นขุนนาง ขุนนางกับศัตรูเป็นของคู่กัน หรืออาจเป็นเพราะตัณหาอยากได้ตัวโสเภณี? หรือเป็นแค่พวกสติไม่ดีสักคนที่อยากท้าทายอำนาจ ไม่มีใครรู้ หรือบางทีอาจไม่รู้ไปตลอดกาลก็ได้ แต่ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าต้องกลัวไป หลังจากนั้นเป็นต้นมาไม่มีภัยใดเกิดขึ้นอีก...บางทีมันอาจถูกตัดหัวไปแล้วอย่างว่า”

 

      ชายชราหัวเราะในลำคอ

 

      “ไม่ว่าอย่างไรเจ้าและครอบครัวจะปลอดภัย เพียงแค่อย่าไปใกล้ป่าหมอก เข้าใจรึไม่”

 

      ชายชราคลายหัวคิ้วที่ตึงเครียดลง ชายหนุ่มขยับหัวรับคำ พวกเขาดื่มและรับฟังเสียงของคนในร้านที่กลับมาคึกคักในหัวข้อใหม่ ไม่นาน...สองพ่อลูกก็กลับไป

.

.

.

      พวกเจ้ารู้ใช่มั้ย ว่าคำบอกเล่านั้นเชื่อถือไม่ได้

 

      โดยเฉพาะจากบุคคลภายนอกซึ่งมาภายหลัง เห็นเหตุการณ์เพียงผิวเผินและตัดสินใจว่า นี่-คือ-เรื่อง-ที่-ถูก-ต้อง

     

      อยากให้พวกเจ้ารู้ไว้หน่อยว่า วันนั้นไม่มีใครตาย

      ข้าเข้าใจเรื่องมันผ่านมายาวนานถึงยี่สิบแล้วไม่แปลกนักที่จะหลงลืมหรือบิดเบือนไปบ้างใน หลายๆ จุด

 

      แต่ข้าขอบอกอะไรอย่างหนึ่งซึ่งเจ้าควรรำลึกไว้เสมอ หากเจ้าอยากรู้ความจริงเรื่องใดหรือสิ่งใด...จากปลายสายจงไล่ไปตามเส้นใยจนถึงแก่นกลางของมัน ความจริงนั้นจะปรากฏให้เห็นโดยไม่ขาดตกบกพร่อง

 

      กระนั้น แม้เจ้าจะรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว...ไม่ได้หมายความว่าใครจะเชื่อเจ้าโดยง่าย เพราะมนุษย์ถนัดปฏิเสธและต่อต้านมากกว่าทำความเข้าใจ

 

      เพราะเป็นเช่นนั้น พระเจ้าของเราจึงมิใช่พระเจ้าของเขา

ขอองค์เทพคุ้มครอง

Raluna

  • Facebook
  • Twitter

© 2022 by The Witches of Pompeii

bottom of page